เหตุผลที่ ‘ไอโฟน’ ปักหลักอินเดีย ไม่สะท้านคำขู่ ‘ทรัมป์’ เก็บภาษี 25%
เหตุผลที่ ‘ไอโฟน’ ปักหลักอินเดีย ไม่สะท้านคำขู่ ‘ทรัมป์’ เก็บภาษี 25%
Blog Article
ในศึกการค้ากับจีนรอบแรก ตั้งแต่ยุคที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐสมัยแรกและสานต่อด้วยรัฐบาลของโจ ไบเดน บริษัทอเมริกันที่ลงทุนในจีน ได้ลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนไปประเทศอื่นนอกเหนือจากจีน โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ตกเป็นเป้าของสหรัฐ ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีทั้งอินเดีย เวียดนาม เป็นต้น
แต่เมื่อทรัมป์มาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่สองในปัจจุบัน ทรัมป์ได้ประกาศเก็บภาษี “ต่างตอบโต้” กับทุกประเทศแบบครอบคลุมเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2025 ด้วยอัตราภาษีสูงลิ่วอย่างที่ทราบกัน ด้วยข้ออ้างที่ว่าต้องการบีบให้บริษัทอเมริกันย้ายฐานการผลิตกลับมาอเมริกาเพื่อจ้างงานคนอเมริกัน ทำให้บริษัทอเมริกันที่เคยหลบไปผลิตสินค้าในประเทศเหล่านี้เพื่อส่งไปจำหน่ายในอเมริกา หมดทางหลบหนี ทุกบริษัทโอดครวญกันว่า อุตส่าห์ลงทุนหมดเงินไปมากมายเพื่อย้ายออกจากจีน
แต่เมื่อเจอกับมาตรการ “ปิดประตูตีแมว” ทุกช่องทางของทรัมป์ ทำให้บริษัทลำบาก และหลายรายถึงกับโอดครวญว่า จะอยู่รอดหรือไม่ หากภาษียังสูงมากเช่นนี้ และคงเป็นไปได้ยากที่จะกลับไปลงทุนสหรัฐ เพราะต้นทุนการผลิตในสหรัฐสูงกว่าหลายเท่า
แต่ทรัมป์ดูเหมือนไม่ได้ฟังเหตุผลใด ๆ เลยที่ว่า ธุรกิจบางอย่างนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะย้ายฐานการผลิต เนื่องจากมีหลายปัจจัย นอกจากเรื่องค่าแรงที่สูงในสหรัฐแล้ว ยังมีเรื่องห่วงโซ่อุปทานที่หยั่งลึกแล้วในประเทศนั้น ๆ หมายความว่าการจะจัดหาชิ้นส่วน วัตถุดิบ และอื่น ๆ ที่จำเป็นในการผลิตนั้นจะเกิดการสะดุดและไม่มีประสิทธิภาพ ครั้นจะนำเข้าชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบเหล่านี้จากนอกประเทศ ทางทรัมป์ก็สร้างอุปสรรคด้วยการเก็บภาษีชิ้นส่วนและวัตถุดิบเหล่านั้นอีก
ไม่นับรวมถึงทักษะของแรงงาน ที่จะต้องใช้เวลาฝึกและสร้างคนขึ้นมาใหม่หากย้ายฐานการผลิตไปที่สหรัฐ ทั้งหมดล้วนแต่ทำให้ธุรกิจสะดุดและมีต้นทุนค่าใช้จ่ายมากขึ้น แถมยังมีแนวโน้มจะขายไม่ได้ หรือแข่งขันไม่ได้เพราะราคาสินค้าจะสูงกว่าการผลิตนอกประเทศ
การที่หลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัทยักษ์ใหญ่ยังไม่ตอบสนองทรัมป์ในการย้ายการผลิตกลับมาสหรัฐ ทำให้ทรัมป์หงุดหงิด ล่าสุดนี้ออกมาโพสต์ขู่ “ไอโฟน” ว่าจะถูกเก็บภาษี 25% ซึ่งเป็นการขู่หลังจากก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้ออกมาประกาศว่า “ไม่ต้องการ” ให้แอปเปิลไปผลิตไอโฟนในอินเดีย ต้องมาผลิตในสหรัฐ แต่ดูเหมือน “ทิม คุก” ซีอีโอของแอปเปิลไม่ได้ตอบสนองอย่างน่าพอใจ
สื่ออินเดีย อีโคโนมิกไทม์ส รายงานว่า ทำไมไอโฟนไม่ยอมถอยจากอินเดีย แม้จะถูกทรัมป์ขู่เก็บภาษี 25% ไม่เพียงไม่ถอย แต่ยังให้ความสำคัญกับอินเดียมากขึ้น
เหตุผลก็เพราะว่าหากพิจารณาในเชิง “เศรษฐศาสตร์” แล้วอินเดียน่าดึงดูดเกินกว่าจะเมินเฉย ทรัมป์จะเก็บภาษีหรือไม่เก็บ เมื่อดูตัวเลขหรือการคำนวณทาง “คณิตศาสตร์” แล้ว “อินเดียและแอปเปิล” ยังคงทำงานได้ผลอยู่ดี
ถึงแม้ว่าทรัมป์จะเก็บภาษีจริง ๆ การผลิตไอโฟนในอินเดียยังถูกกว่าในสหรัฐมาก แถมรัฐบาลอินเดียยังมีมาตรการจูงใจ ด้วยการสร้าง “ระบบนิเวศ” ของห่วงโซ่อุปทาน มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ มหาศาล
ดังนั้นภาพจึงชัดเจนมากขึ้นสำหรับนักลงทุน ชัดตรงที่ว่า อินเดียไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนนอกเหนือจากจีน แต่อินเดียคือ “ฐานการผลิตใหญ่” แห่งต่อไปของแอปเปิล
ตามข้อมูลของ Global Research Initiative (GTRI) แจกแจงว่า ไอโฟนราคา 1,000 ดอลลาร์สหรัฐนั้น แต่ละเครื่องถูกผลิตโดยหลายประเทศเข้ามามีส่วนร่วม ได้แก่ ชิปราคา 150 ดอลลาร์ จากไต้หวัน จอ OLED และส่วนประกอบ (components) ที่เป็นระบบความจำจากเกาหลีใต้ราคา 90 ดอลลาร์ ระบบกล้องจากญี่ปุ่น มูลค่า 85 ดอลลาร์ ชิปจากอเมริกา อย่าง Qualcomm และ Broadcom มูลค่า 80 ดอลลาร์ และยังมีเยอรมนี เวียดนาม มาเลเซียที่มีส่วนในการป้อนองค์ประกอบต่าง ๆ มูลค่าราว 45 ดอลลาร์ ส่วนไอโฟน มีส่วนร่วมมากที่สุด มูลค่า 450 ดอลลาร์ จากค่าแบรนด์ การออกแบบและซอฟต์แวร์
ในทางตรงกันข้าม ต้นทุนการประกอบในอินเดียและจีนนั้น อยู่ที่ 30 ดอลลาร์ต่อเครื่อง หมายความว่าประเทศที่ถูกจ้างให้ประกอบไอโฟน ได้ค่าตอบแทนน้อยกว่า 3% ของราคาขายปลีกไอโฟน ซึ่งชัดเจนว่า มูลค่าส่วนใหญ่ของไอโฟนมาจากงานออกแบบและส่วนประกอบที่ล้ำสมัย ไม่ใช่มาจากการประกอบ
หากลองเปรียบเทียบกับกรณีที่แอปเปิลย้ายไปประกอบในสหรัฐ ตัวเลขจะเปลี่ยนไปอย่างมาก โดยที่อินเดียนั้นคนงานจะได้รับค่าแรงเดือนละ 230 ดอลลาร์ แต่ถ้าประกอบในแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ซึ่งมีค่าจ้างขั้นต่ำค่อนข้างสูงและค่าครองชีพสูง ค่าแรงจะกลายเป็นเดือนละ 2,900 ดอลลาร์ หรือสูงกว่าอินเดีย 13 เท่า นั่นหมายความว่าเฉพาะค่าแรงประกอบไอโฟนต่อเครื่องในอินเดียอยู่ที่ 30 ดอลลาร์ แต่ถ้าประกอบในสหรัฐจะอยู่ที่ 390 ดอลลาร์ ยังไม่รวมค่าชิ้นส่วนต่าง ๆ และค่าขนส่ง
คราวนี้ลองเอาภาษีนำเข้า 25% เข้ามาคำนวณด้วย ก็หมายความว่าค่าแรงในการประกอบจะเพิ่มขึ้น 7.5 ดอลลาร์ ทำให้ค่าแรงประกอบไอโฟนในอินเดียจะอยู่ที่เครื่องละ 37.5 ดอลลาร์ ซึ่งก็ยังถูกกว่าการประกอบในสหรัฐที่ 390 ดอลลาร์ สรุปแล้วถึงแม้จะถูกเก็บภาษีนำเข้า 25% ค่าแรงประกอบในอินเดียก็ยังถูกกว่าสหรัฐประมาณ 10 เท่า
ปัจจุบันไอโฟนมีกำไรต่อเครื่อง 450 ดอลลาร์ แต่หากกลับไปผลิตที่สหรัฐ กำไรต่อเครื่องจะลดลงมาก เหลือเพียง 60 ดอลลาร์ ยกเว้นเสียแต่ว่าจะขึ้นราคาขายปลีกอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไอโฟนอยากหลีกเลี่ยง
นอกจากนั้น โครงการสร้างแรงจูงใจของรัฐบาลอินเดียที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นที่เรียกว่า Production-Linked Incentive (PLI) ซึ่งจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลหากบริษัทนั้นเริ่มลงมือผลิตได้ตามกรอบเวลา และผลิตได้ในปริมาณมากตามเป้าหมาย เป็นเหตุผลที่ทำให้แอปเปิลจะไม่เปลี่ยนใจไปจากอินเดีย สล็อต sawan888
เพิ่มเติมจากความได้เปรียบเรื่องต้นทุน อินเดียยังน่าสนใจ ตรงที่ Foxconn ของไต้หวันซึ่งเป็นผู้รับจ้างผลิตรายใหญ่ของแอปเปิล ได้ลงทุนก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ที่เมืองเทวนาฮัลลิ ของอินเดีย มูลค่า 2,560 ล้านดอลลาร์ ซึ่งโครงการระยะที่ 1 เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีเป้าหมายจะผลิตไอโฟน 1 แสนเครื่อง ภายในเดือนธันวาคม 2025 และจะเพิ่มอีกมากในระยะหลายปีข้างหน้า นอกจากนั้นยังจะขยายโรงงานไปอีกหลายเมืองและผลิตสินค้าหลากหลายให้กับแอปเปิล นอกเหนือจากไอโฟน
ก่อนหน้านี้ “ทิม คุก” ซีอีโอ ของแอปเปิล ได้กล่าวชัดเจนว่า โทรศัพท์ไอโฟนส่วนใหญ่ที่จะจำหน่ายในสหรัฐในอีกไม่นาน จะมาจากฐานผลิตในอินเดีย